วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีดังต่อไปนี้
 
          1. ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ การที่จะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่งนั้น จะทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบ ทั้งจากข้อมูลเบื้องต้น จากเอกสาร แผนที่ สอบถามเจ้าหน้าที่ นักวิชาการและราษฎรในพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อที่จะพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วตรงตามความต้อง การของประชาชน
          2. ระเบิดจากข้างใน พระองค์ทรงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาคน ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราเข้าไปพัฒนาให้มีสภาพพร้อมที่จะรับ เสียก่อน แล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การนำเอาความเจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชน หมู่บ้าน ที่ยังไม่ทันได้มีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว
          3. แก้ปัญหาที่จุดเล็ก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพในการแก้ปัญหา ทรงมองปัญหาในภาพรวม (Macro) ก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาของพระองค์จะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่คนมักจะมองข้าม ดังพระราชดำรัสที่ว่า “…..ถ้าปวดหัวก็คิดอะไรไม่ออก…….. เป็นอย่างนั้นต้องแก้ไขการปวดหัวนี้ก่อน……..มันไม่ได้เป็นการแก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปวดหัวก่อน เพื่อที่จะให้อยู่ในสภาพที่คิดได้…….แบบ Macro นี้เขาจะทำแบบรื้อทั้งหมด ฉันไม่เห็นด้วย……… อย่างบ้านคนอยู่ เราบอกบ้านนี้มันผุตรงนั้น ผุตรงนี้ไม่คุ้มที่จะไปซ่อม…… เอาตกลงรื้อบ้านนี้ระเบิดเลย เราจะไปอยู่ที่ไหน ไม่มีที่อยู่………. วิธีทำต้องค่อย ๆทำ จะไประเบิดหมดไม่ได้
          4. ทรงทำตามลำดับขั้น “…การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้อง ด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในเวลานี้…”
          5. ภูมิสังคม “…การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศ ภูมิศาสตร์และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา คือนิสัยใจคอของคนเราจะไปบังคับให้คนอื่นคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เราเข้าไป ไปช่วยโดยที่จะคิดให้เขาเข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริง ๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง…”
          6. องค์รวม ทรงมีชีวิตคิดอย่างองค์รวม (Holistic) หรือมองอย่างครบวงจร ในการที่จะพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับโครงการหนึ่งนั้นจะทรงมองเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง ดังเช่น กรณีของ ทฤษฎีใหม่ที่พระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทย เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพนับเป็นแนวทางหนึ่งที่พระองค์ทรงมองอย่างองค์รวม ตั้งแต่การถือครองที่ดิน โดยเฉลี่ยของประชาชนคนไทยประมาณ ๑๐ ๑๕ ไร่ เพื่อการบริหารจัดการที่ดิน และแหล่งน้ำอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการประกอบอาชีพ เมื่อมีน้ำในการทำเกษตรแล้วจะส่งผลให้ผลผลิตดีขึ้น และหากมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น เกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีการจัดการและการตลาด รวมถึงการรวมกลุ่ม รวมพลังชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพื่อพร้อมที่จะออกสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกได้อย่างครบวงจร นั่นคือ ทฤษฎีใหม่ ขั้นที่ ๑, ๒ และ ๓
          7. ไม่ติดตำรา การพัฒนาตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีลักษณะของการพัฒนาที่อนุโลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสภาพของสังคมจิตวิทยาแห่งชุมชน คือไม่ติดตำราไม่ผูกมัดติดกับวิชาการและเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ที่แท้จริงของคนไทย
          8. ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด ในเรื่องของความประหยัดนี้ ประชาชนชาวไทยทราบกันดีว่าเรื่องส่วนพระองค์ทรงใช้อย่างคุ้มค่าอย่างไร หรือฉลองพระองค์แต่ละองค์ทรงใช้อยู่เป็นเวลานานดังที่นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เคยเล่าว่า “...กองงานในพระองค์โดยท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ บอกว่าปีหนึ่งพระองค์เบิกดินสอ 12 แท่ง เดือนละแท่งใช้จนกระทั่งกุด ใครอย่าไปทิ้งของท่านนะจะกริ้วเลย ประหยัดทุกอย่างเป็นต้นแบบทุกอย่าง ทุกอย่างมีค่าสำหรับพระองค์หมด ทุกบาททุสตางค์จะใช้อย่างระมัดระวัง จะสั่งให้เราปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบ...
          9. ทำให้ง่าย Simplicity ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้การคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และแก้ไขงานการพัฒนาเป็นไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และที่สำคัญคือสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่และระบบนิเวศน์โดยส่วนรวมใช้กฎ แห่งธรรมชาติเป็นแนวทาง ฉะนั้น คำว่าทำให้ง่ายจึงเป็นหลักคิดสำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศในรูปแบบของโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
          10. การมีส่วนร่วม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักประชาธิปไตย ประชาพิจารณ์มาใช้ในการบริหาร เพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับได้มาร่วมกัน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องคำนึงถึงความคิดของประชาชน ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า “…สำคัญที่สุดจะต้องหัดทำใจให้กว้างขวางหนักแน่น รู้จักรับฟังความคิดเห็น แม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาด เพราะการรู้จักรับฟังอย่างฉลาดนั้น แท้จริงคือการระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลากหลาย มาอำนวยประโยชน์ในการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบความสำเร็จที่สมบูรณ์นั่น เอง….”
          11. ประโยชน์ส่วนรวม การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และการพระราชทานพระราชดำริ ในการพัฒนาและช่วยเหลือพสกนิกรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงระลึกถึง ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ
          12. บริการรวมที่จุดเดียว One-Stop Services ทรงเน้นในเรื่องการสร้างความรู้ รัก สามัคคีและการร่วมมือร่วมแรงใจกันด้วยการปรับลดช่องว่างระหว่างหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ที่มักจะต่างคนต่างทำและยึดติดกับการเป็นเจ้าของเป็นสำคัญ ให้แปรเปลี่ยนเป็นการรวมมือกันแนวพระราชดำริ ในการดำเนินบริหารของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มีอยู่ทั้ง 6 ศูนย์ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ นับเป็นรูปแบบใหม่ของการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทยอย่างแท้จริงการ พึ่งตนเอง
          13. ทรงใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกับธรรมชาติทรงมองอย่าง ละเอียดถึงปัญหาธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติ จะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ อาทิ การแก้ไขปัญหาป่าเสื่อมโทรมได้พระราชทานพระราชดำริ การปลูกป่า โดยไม่ต้องปลูก ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยในการฟื้นฟูธรรมชาติ
          14. ใช้อธรรมปราบอธรรม แนวปฏิบัติที่สำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ปกติให้ เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การนำน้ำดีขับไล่น้ำเสีย หรือเจือจางน้ำเสียให้กลับเป็นน้ำดี ตามจังหวะการขึ้นลงตามธรรมชาติของน้ำ การบำบัดน้ำเสียโดยใช้ผักตบชวาซึ่งมีตามธรรมชาติ ให้ดูดซับสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ ดังพระราชดำรัสว่า ใช้อธรรมปราบอธรรม
          15. ปลูกป่าในใจคน พระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า “….เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง
          16. ขาดทุนคือกำไร ขาดทุน คือ กำไร (Our loss is our gain…) การเสีย คือ การได้ ประเทศก็จะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้...ต่อพสกนิกรชาวไทย การให้” “การเสียสละเป็นการกระทำอันมีผลเป็นกำไร คือความอยู่ดีมีสุขของราษฎร....
          17. การพึ่งตนเอง “…การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพ และตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ ก่อนอื่นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด เพราะผู้มีอาชีพ และฐานะเพียงพอที่จะพึ่งพาตนเองได้ ย่อมสามารถสร้างความเจริญในระดับสูงขั้นต่อไป…”
          18. พออยู่พอกิน การพัฒนาเพื่อให้พสกนิกรทั้งหลายประสบความสุขสมบูรณ์ในชีวิต ได้เริ่มจากการเสด็จฯไปเยี่ยมประชาชนทุกหมู่เหล่าในทุกภูมิภาคของประเทศ ได้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยพระองค์เอง จากนั้นได้พระราชทานความช่วยเหลือให้มีความอยู่ดีกินดี มีชีวิตอยู่ในขั้นพออยู่พอกินก่อน แล้วจึงขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ก้าวหน้าต่อไป ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า ถ้าโครงการดี ในไม่ช้า ประชาชนก็ได้กำไร จะได้ผลราษฏรจะอยู่ดีกินดีขึ้น จะได้ประโยชน์ไป...
          19. เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดย ตลอด มานานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆโดยยึดหลักทางสายกลางพอเพียง พอประมาณด้วยเหตุผล มีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีสำนึกในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ สุจริตดำเนินชีวิตด้วยความอดทนมีสติปัญญา รอบคอบ
          20. ความซื่อสัตย์ สุจริต และกตัญญู “…คนที่ไม่มีความสุจริต คนที่ไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้นจึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็น คุณเป็นประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ….”พระราชดำรัสเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2522
ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้ มากกว่าผู้มีความรู้มากแต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ….” พระราชดำรัสเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533
          21. ทำงานอย่างมีความสุข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเกษมสำราญและทรงมีความสุขทุกคราที่จะช่วย เหลือประชาชน ซึ่งเคยรับสั่งครั้งหนึ่งว่า...ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น...
          22. ความเพียร :พระมหาชนก พระบาทสมเด็จอยู่หัว ทรงเริ่มทำโครงการต่างๆในระยะแรกที่ไม่มีความพร้อมในการทำงานมากนัก และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น แต่พระองค์ก็มิได้ท้อพระราชหฤทัย มุ่งมั่นพัฒนาบ้านเมืองให้บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุข
          23. รู้ รัก สามัคคี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสในเรื่อง รู้ รัก สามัคคี มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นคำสามคำ ที่มีค่าและมีความหมายลึกซึ้ง พร้อมทั้งสามารถปรับใช้ได้กับทุกยุด ทุกสมัย
          รู้ การที่เราจะลงมือทำสิ่งใดนั้น จะต้องรู้เสียก่อน รู้ถึงปัจจัยทั้งหมด รู้ถึงปัญหาและรู้ถึงวิธีการแก้ปัญหา
          รัก คือความรักที่เมื่อเรารู้ครบด้วยกระบวนความแล้วจะต้องมีความรัก ความพิจารณาที่จะเข้าไปลงมือปฏิบัติแก้ไขปัญหานั้น ๆ
          สามัคคี สามัคคี แต่การที่จะลงมือปฏิบัตินั้น ควรคำนึงเสมอว่าเราจะทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องทำงานร่วมมือร่วมใจเป็นองค์กร เป็นหมู่คณะ จึงจะมีพลังเข้าไปแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี
          การทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดการดำเนินงานในลักษระทางสายกลางที่สอดคล้องกับสิ่งที่อยู่รอบตัว และสามารถปฏิบัติได้จริง ทรงมีความละเอียดรอบคอบและทรงคิดค้นหาแนวทางพัฒนาเพื่อมุ่งสู่ประโยชน์ต่อ ประชาชนสูงสุด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
  • หนังสือ สำนักงานคณะกรรมการการพิเศษเพื่อประสานโครงกการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
*********************
เฒ่าเผาถ่านพิทักษ์โลก
http://www.bantanthai.com

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

สมเด็จพระเทพฯทรงแนะยึดแนวพัฒนาชนบทของในหลวง

สมเด็จพระเทพฯ ทรงบรรยาย “การพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ทรงย้ำการพัฒนาชนบทต้องถามความต้องการคนในพื้นที่ 

          สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานเปิดการสัมมนาความสัมพันธ์ไทย-จีน ครั้งที่ 8 ที่ธนาคารกสิกรไทย เรื่อง “การสร้างพลังเศรษฐกิจการเกษตรเพื่อการพัฒนาชนบท” และทรงบรรยายหัวข้อ “การพัฒนาชนบทตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โดยมีใจความช่วงตอนหนึ่งว่า ความคิดแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีอยู่ข้อหนึ่ง พระองค์จะพยายามทำให้บุคคลต่าง ๆ ตั้งใจทำงานโดยที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่เขาคิดเอง สามารถจะพัฒนาชนบท หรือทำงานใดก็ตาม ผู้ที่ลงมือจะต้องคิดในแง่ว่าเป็นความคิดของตัวเอง ไม่เช่นนั้นการกระทำก็ไม่สำเร็จด้วยดี

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริอะไรก็ตามจะถามบุคคลในพื้นที่ก่อนว่ามีความต้องการอย่างไร ต้องการให้เป็นแบบไหน ส่วนไหนทรงมีความรู้ก็เผยแพร่ได้ หรือทรงรู้จักคนที่มีความรู้ก็จะนำมาช่วยกันคิดช่วยกันทำได้ โดยที่มาเป็นสมัยใหม่ที่เขาเข้ามาคิดว่าจะต้องช่วยชนบทหรือทำอะไรให้ชนบท โดยคิดว่าเขาเป็นคนที่ล้าหลังทำอะไรก็ไม่เป็นอย่างนั้นงานจะไม่ประสบความ สำเร็จ ซึ่งในชนบทคนที่เขามีความต้องการก็มีความรู้ในเรื่องของชีวิตของเขา หลายคนที่สมัยปัจจุบันเรายกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ในพื้นที่
อีกเรื่องที่อยากนำเสนออาจดูเหมือนว่าอยู่นอกกรอบการสัมมนา แต่ที่จริงไม่อยู่นอกเหนือ คือ สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เป็นงานพระราชดำริด้านหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำขึ้นมา ตั้งแต่ พ.ศ.2512 เรียกว่าเป็นเวลา 40 กว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นลูก ๆ ของพระองค์ยังเด็กอยู่ พระองค์รู้สึกว่าความรู้ต่าง ๆ ในโลกนี้มีหลายสาขา ซึ่งสาขาเหล่านี้เราต้องเอามารวมกัน จะเห็นว่าทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนเชื่อมโยงกันทั้งนั้น ในเมื่อถ้าเราศึกษาหาความรู้จะเป็นเหตุความรู้ที่เพิ่มเติมเป็นความรู้ความ ฉลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของชีวิตเพื่อให้บุคคลสร้างความสุขความเจริญต่อตน เองและต่อสังคม ก็เกิดเป็นแนวคิดทำสารานุกรม

          ขณะนี้หนังสือสารานุกรมสำหรับเยาวชนเผยแพร่ตามโรงเรียนต่าง ๆ โดยเฉพาะในชนบท แบ่งเป็น 3 ตอน เด็กเล็กใช้ภาษาง่าย ๆ มีศัพท์น้อย แต่ให้ความหมายครบถ้วน เด็กกลาง และเด็กใหญ่ คือเด็กโตและผู้ใหญ่เล่าให้น้อง ๆ ฟังต่อ ๆ พี่สอนน้องให้มีการอ้างอิงให้ผู้อ่านเข้าใจ เหมือนการค้นอินเตอร์เน็ตสมัยนี้ สมัยนั้นยังไม่มี แต่วิธีการแบบเดียวกัน เป็นแนวทางการพัฒนาชนบท ฝึกอบรมชนบทอย่างหนึ่ง ซึ่งมีการพูดกันน้อย

          สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี บรรยายช่วงตอนหนึ่งด้วยว่า เดี๋ยว นี้คนจะพูดถึงพระเจ้าอยู่หัวก็พูดถึงทดลอง ที่จริงทำจริงมานานแล้ว แต่ที่ต้องทดลองตอนต้นถ้าไม่ดี เอาอะไรใหม่มา ถ้าไม่ดี แล้วปล่อยให้ราษฎรทำ แล้วทำไม่ได้ แล้วล่มจมยิ่งเป็นเรื่องบาปกรรม และทำความเสียหายอย่างมาก ก็ต้องให้ทำเอง และให้แน่ใจว่าสิ่งนั้นทำได้ และแนะนำสิ่งนั้นให้เขาทำ 






 

07 มีนาคม 2554
เวลา 11:53 น

เฒ่าเผาถ่านพิทักษ์โลก
http://www.bantanthai.com